ปีที่สาม ปีที่ต้องพัฒนาแข่งกับอายุของลูกที่โตขึ้นเรื่อยๆ
กลับมาอัพเดทเรื่องราวบ้านเรียนกันอีกครั้งหลังจากที่ใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตไปกับอะไรต่างๆ มากมาย รวมทั้งการที่ต้องอยู่อย่างระมัดระวังหลังหน้ากากอนามัย เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในช่วงชีวิตนี้ สถานการณ์โรคระบาดส่งผลกระทบต่อทุกระบบในโลกนี้ ระบบการศึกษาก็เช่นกัน เด็กนักเรียนในโรงเรียนต้องปรับตัวไปเรียนออนไลน์ในแบบที่ไม่คุ้นเคย หลายคนชอบใจที่ไม่ต้องไปโรงเรียน หลายคนเรียนไม่รู้เรื่องเพราะบรรยากาศไม่เหมือนกับนั่งเรียนที่โรงเรียน และเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่โรคระบาดนี้จะหายไปเสียที
สำหรับเราเหมือนได้มีโอกาสเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้วจึงไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่นักในเรื่องการเรียน เป็นห่วงเรื่องโรคระบาดมากกว่า ในช่วงแรกที่โควิดมาถึงที่นี่ เราปิดร้านทันทีก่อนที่รัฐบาลจะประกาศล็อคดาวน์เพื่อรอดูสถานการณ์ ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง งดกิจกรรมนอกบ้านที่ต้องพบปะผู้คน วันหยุดก็งดออกไปเที่ยวพักผ่อน งดไปเรียนพิเศษ งดเรียนว่ายน้ำ งดเรียนเปียโนที่โรงเรียนดนตรี การเรียนทุกอย่างอยู่ที่บ้าน 100% ออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็น สวมหน้ากากอนามัย และอาบน้ำสระผมซักเสื้อผ้าทันทีที่กลับเข้าบ้าน อยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม ก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตปกติภายใต้มาตรการการป้องกันขั้นสูงสุดต่อไป
ด้านการเรียนก็ปรับมาเป็นให้เวลากับวิชาหลักของบ้านมากขึ้น ถือโอกาสใช้เวลานี้พัฒนาการเรียนเปียโนไปอย่างต่อเนื่อง ก่อนสถานการณ์จะกลับมาปกติ เราจะเตรียมตัวสอบโน่นนี่นั่นเอาไว้ให้พร้อมที่สุด ซึ่งผมจะรวบยอดให้ฟังทีหลังครับ
ลูกของเรากำลังโตขึ้นเรื่อยๆ
คุณพ่อคุณแม่ที่ตัดสินใจทำโฮมสคูลให้ลูก หรือกำลังสนใจในขณะนี้ อย่าลืมคิดเผื่อด้วยนะครับว่า ลูกเราจะไม่ได้ตะมุติมิเป็นนางฟ้าเทวดาตัวน้อยๆ แบบนี้ตลอดไป วันหนึ่งเขาจะโตขึ้น และโตขึ้นไปอีกในทุกๆ ด้าน เราต้องมั่นใจว่าเราจะ "เอาอยู่" และประคับประคองให้เขาผ่านพ้นวัยเด็กและวัยรุ่นไปได้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพและคุณธรรมนะครับ ส่วนถึงเวลาจริงๆ จะเป็นยังไงค่อยไปผจญภัยกันเอาทีหลังครับ
จากประสบการณ์สามปีย่างเข้าปีที่สี่อย่างเป็นทางการ มีหลายอย่างที่อยากบันทึกเอาไว้ จะเรียกว่า "อุปสรรค" ก็ไม่ได้เข้มข้นมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีคำอื่นที่ความหมายเบาลง คิดว่าหลายคนจะได้พบกับสิ่งเหล่านี้ครับ
อุปสรรคในส่วนของตัวเราเอง
ภาระหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้น เรายังมีเวลาพอไหม?
โฮมสคูลเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของลูก ถ้าได้ตัดสินใจและเดินหน้าไปแล้วอาจจะไม่สะดวกนักที่จะเปลี่ยนใจกลางคัน เพราะในทางปฏิบัติจริงอาจมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง เช่นอายุที่โตขึ้นเรื่อยๆ สาระการเรียนรู้ที่บ้านกับที่โรงเรียนไม่ตรงกัน เวลาจะเทียบระดับอาจจะต้องมีการกลับไปเรียนเพิ่มเติมกับรุ่นน้อง ลูกอาจจะรู้สึกแปลกๆ หรือถึงขั้นเป็นปมด้อยถ้าต้องกลับไปเริ่มเรียน ป.1 ใหม่ในสิ่งที่รู้สึกว่า ฉันโตกว่านี้ตั้งเยอะแล้วนะ
ก่อนจะตัดสินใจ คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นใจว่าจะมีเวลามากพอในการดูแลลูก เพราะการอยู่บ้านคือการตัดช่องทางการเรียนรู้ที่หลากหลายในแบบโรงเรียนออก และเราเป็นผู้จัดแผนการเรียนรู้ให้กับลูกเองทั้งหมด ไม่ว่าจะสอนเอง จ้างครู เรียนคอร์สออนไลน์ หรือไปเรียนตามสถาบันสอนพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องอบรมสั่งสอนลูกในแง่มุมต่างๆ นอกบทเรียน รวมทั้งเรื่องคุณธรรมจริยธรรมอีกมากมาย ชั่งใจดูว่า สามปี หกปี สิบสองปี นับจากนี้เราพร้อมจะทุ่มเทเวลาเพื่อลูกของเราจริงๆ หรือไม่
ผมอยากให้ตัดความคิดที่ว่า เมื่อเด็กเติบโตขึ้นเขาก็จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เองตามธรรมชาติออกไปก่อนในช่วงที่เขายังเป็นเด็กเล็ก
สำหรับครอบครัวของเรา ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นหลังจากตัดสินใจทำโฮมสคูล ตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป มีช่องทางการทำมาหากินใหม่ๆ เกิดขึ้น มีร้านขายหยกออนไลน์เล็กๆ มีแรงบันดาลใจที่จะออกไปทำสวนทุเรียน ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลามาก แต่เราเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา จึงมีคนหนึ่งคอยดูแลลูกเป็นหลัก ไม่ได้ทำให้เสียระบบการเรียนของลูกแต่อย่างใด ยังเป็นการเพิ่มสาระการเรียนรู้ที่จะนำไปเป็นอาชีพได้ในอนาคตอีกช่องทางหนึ่ง
ความเชื่องช้ากับอารมณ์ฉุนเฉียว
สิ่งที่คาดว่าคุณพ่อคุณแม่โฮมสคูลส่วนใหญ่น่าจะต้องได้ปวดหัวแน่ๆ คือ อารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเราเอง ซึ่งมันอาจจะทำลายความดีงามทั้งหมดที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อลูกของเรา เด็กน้อยคนนี้ไม่ได้อยู่ท่ามกลางแรงกดดันอื่นๆ เหมือนในโรงเรียน ไม่ต้องรีบตื่นเช้าเพื่อไปให้ทันรถ ทำอะไรระหว่างวันก็ไปได้เรื่อยๆ ทุกอย่างยืดหยุ่นได้ ไม่ต้องรีบนอนก็ได้เพราะไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ลูกของเรากลายเป็นคนไม่มีวินัย ไม่รู้จักความเร่งด่วน ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา และมันทำให้เราหงุดหงิดฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดขึ้นมาได้
แนวทางการเลี้ยงลูกของครอบครัวเรา คือเลี้ยงเขาด้วยความรัก อบรมสั่งสอนกันด้วยเหตุด้วยผล ความไว้เนื้อเชื่อใจจะทำให้เขาว่านอนสอนง่าย บกพร่องสิ่งไหนก็ค่อยๆ เติมเต็มให้เขาไป ไม่ด่า ไม่ตี ไม่ใช้ความรุนแรงและคำหยาบคายทุกชนิด โถ..สำหรับเด็กเล็กที่ยังไม่รู้ความ จะต้องใจเย็นขนาดไหนจึงจะอดทนข่มใจไม่ให้มีความฉุนเฉียวเกิดขึ้นมาบ้างแม้สักนิดหนึ่ง ถ้าคุณเป็นคนขี้โมโห ก็ยังเปลี่ยนใจทันนะครับ
สำหรับนักเรียนของผมนั้น ช้ามาก ทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเชื่องช้า ต้องคอยกระตุ้นบ่อยๆ แต่เหมือนความรักของเราจะใช้ได้ผล เวลาทำเสียงเข้มจุนเจือจะกลัวพ่อกับแม่ไม่รัก รีบทำอะไรอย่างรวดเร็วขึ้น อย่างน้อยก็ในขณะนั้น และทุกครั้งที่มีการดุกันเกิดขึ้น เราจะรีบเคลียร์ด้วยเหตุผลทันที ไม่ปล่อยให้ความขุ่นมัวของเราหรือความน้อยใจของลูกอยู่ข้ามคืน
อันที่จริงผมไม่เคยปล่อยให้ยาวนานเกินหนึ่งชั่วโมง
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้ปกครอง
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ นั่นคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในครอบครัว เพราะถ้าเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีลุงป้า น้าอา ปู่ย่า ตายาย อยู่ในบ้านเดียวกัน และมีความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ไปกันคนละทิศละทาง ลูกจะสับสน เขาเป็นเด็กเล็กที่สุดในบ้าน ไม่มีความกล้าหาญพอจะขัดขืนหรือโต้เถียงกับผู้ใหญ่ คนหนึ่งบอกสิ่งนี้ดี อีกคนบอกไม่ดี คนหนึ่งบอกสิ่งนี้ทำได้ อีกคนบอกห้ามเด็ดขาด ตกลงเราจะยึดถือปฏิบัติตามคำพูดของใครกันดีนะ ครอบครัวของคุณเป็นยังไงบ้าง?
อย่างไรก็ตาม มีหนึ่งคนที่เป็นผู้จัดการศึกษาให้กับลูก คุณควรเป็นผู้ชี้ขาดแนวทางที่ชัดเจนอันสอดคล้องกับภาพรวมในสาระการเรียนรู้ของบ้านเรียนหลังนี้ เพื่อชีวิตที่จะไม่สับสนอีกต่อไปของลูกคุณครับ
ครอบครัวของผม เป็นครอบครัวคนมีอันจะกิน กินมากเกินไป ความรักที่มากับขนมนมเนย คุกกี้ โดนัท ของหวาน ไก่ทอดที่ไม่อาจทัดทานกับน้ำหนักที่เพิ่มพรวดๆ ก็ต้องหาทางควบคุมให้ได้ ปกติผมไม่ใช่นักกีฬาไม่ชอบการออกกำลังกายเพราะมันเหนื่อย แต่ก็ต้องพาลูกออกกำลังกายทุกวัน ในช่วงโควิดสองปีที่ไม่ได้ออกไปว่ายน้ำ จุนเจือควบคุมน้ำหนัก ขึ้นลงอยู่ที่3-5 กิโลกรัม ถือว่ายอมรับได้เพราะร่างกายก็โตขึ้นเรื่อยๆ
บ้านเรียนที่มีลูกสาว และคุณพ่อเป็นคนดูแล ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการวางตัวเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น คนไทยไม่คุ้นเคยกับการแสดงความรัก การกอดกันหอมกันระหว่างพ่อกับลูกอาจกลายเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจ หรือแม้แต่คนในบ้านเองก็ต้องปรับจูนให้ไปในทางเดียวกัน การทำโฮมสคูลนั้นใช้ความรักของพ่อแม่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน การแสดงความรักแบบใกล้ชิดต่อลูกที่ยังเป็นเด็ก หรือจิตใจยังเป็นเด็กอยู่ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะในระหว่างทำกิจกรรมบ้านเรียนแต่ละวัน หากมีการกระทบกระทั่งทั้งทางกายและวาจา การกอดกันช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทางใจที่ไม่พึงประสงค์ได้
ครอบครัวของเรา กอด-หอมกันเป็นปกติ ผมจะสอนลูกเสมอว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เมื่อลูกโตขึ้นอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ถ้ามีคนคิดว่าพ่อจะทำอะไรไม่ดีกับลูกที่ล้างก้นมาเองกับมือ อบรมสั่งสอนเขาทุกสิ่งทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ถือว่าผู้นั้นไม่เข้าใจความรักที่มีต่อลูกเลย ถ้าคุณมีลูกสาว ให้คิดเผื่อข้อนี้ด้วยครับ
วางแผนเรื่องเวลาเอาไว้ล่วงหน้า
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ เป็นเรื่องของการบริหารเวลา ในฐานะผู้จัดการการเรียนรู้ของลูก เราควรจัดสรรตารางเวลาเอาไว้ล่วงหน้า แจ้งกับลูกและสมาชิกในครอบครัวเสียแต่เนิ่นๆ ว่าเวลานั้นเตรียมไว้สำหรับการเรียนรู้เรื่องอะไร เวลานี้เตรียมไว้สำหรับวิชาอะไร กิจกรรมอะไร ในตอนนี้ยังเป็นกิจกรรมเบาๆ หรือปล่อยให้เล่นอิสระเพราะยังเล็กอยู่ แต่เมื่อโตขึ้นการเรียนจะเข้มข้นขึ้นภายในเวลาที่่กำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกนี้ โดยอิงจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ของบ้านนั่นแหละครับ คล้ายๆ การจัดชั้นหนังสือหรือตู้เก็บของ ถ้าไม่วางแผนล่วงหน้า เมื่อถึงเวลา ตู้นั้นอาจจะเต็มไปด้วยตุ๊กตาและของเล่นมากมาย หนังสือการ์ตูน เกม ความสนุกสนานที่ไม่อาจตัดใจ
อุปสรรคในส่วนของลูก
หนูจะเป็นเด็กน้อยของพ่อกับแม่ตลอดไป
หลายคนคงเคยได้ยินที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่า เด็กไม่มีน้องจะโตช้า เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ และหนักเข้าไปอีกเมื่อลูกไม่มีน้องและยังไม่ได้ไปโรงเรียนอีกด้วย ผมเคยไม่สบายใจที่ลูกไม่ทำตัวให้โตตามอายุ แต่แม่เขาบอกว่า ชั่งใจดูนะพ่อว่าระหว่างให้ลูกเป็นเด็กน้อยของพ่อกับแม่ต่อไปเรื่อยๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า ว่านอนสอนง่าย บอกอะไรก็ทำตาม ไม่ดื้อ กับการพยายามยัดเยียดความเป็นเด็กโตให้เขา พอเข้มงวดมากๆ เขาก็จะห่างเหิน บอกอะไรก็จะต่อต้านไม่เชื่อฟังเราอีกแล้ว พอรู้สึกที่บ้านขาดความอบอุ่นเขาจะออกไปหาเพื่อน ไปหาความรักนอกบ้าน นึกออกใช่ไหมว่าสเต็ปต่อไปคืออะไร? ไม่มีใครเป็นเด็กตลอดไปหรอก แม่ว่าเราปล่อยให้เขาเป็นเด็กนานตราบที่เขาต้องการเลยดีกว่าไหม? พอนึกถึงสเต็ปต่อไปของเด็กที่ห่างเหินพ่อแม่ ผมก็คล้อยตามทันที ส่วนหนึ่งก็คือ ผมกลัวเมีย ฮาาา..
ผมเคยบอกลูกว่า โตได้แล้วลูก ถึงลูกโตขึ้นพ่อกับแม่ก็รักเหมือนเดิม เขาตอบว่า "ไม่ค่ะ หนูจะไม่ยอมโต หนูจะเป็นเบบี๋ของพ่อตลอดไป" แล้วก็กระโดดเข้ามาหาอ้อมกอดพ่อแบบบึ้มๆ แทบซี่โครงหักเลยทีเดียว
ความไม่โต มีข้อดีคือทำให้เราเติมอะไรใหม่ๆ ให้เขาได้ง่ายขึ้น ผมนั่งสวดมนต์ก่อนนอนให้ลูกเห็นอยู่สองปี จากเด็กที่ไม่เคยสนใจเลย ตอนนี้จุนเจืออาราธนาศีลห้าตอนเช้าทุกวัน (เว้นวันหยุด) นั่งสวดมนต์ยาวๆ อย่างคาถาชินบัญชรพร้อมๆ กับพ่อได้ สวดบทอิติปิโสได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลังแบบคาถายันต์เกราะเพชร นั่งสมาธิแบบนับเม็ดประคำได้ประมาณยี่สิบนาที ถือว่าไม่น้อยสำหรับการเริ่มต้น มีข้อคิดและตัวอย่างมากมายในสังคมที่เรานำมาขัดเกลาจิตใจของลูก ซึมซับได้มากหรือน้อยก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ทำ ถ้าเรารักษาศีล ศีลจะคุ้มครองเรา
ข้อเสียของการไม่ยอมโตก็มีเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วเราก็เชื่อว่า ไม่มีใครเป็นเด็กได้ตลอดไป ฟันน้ำนมที่ทยอยหลุดไปทีละซี่ ร่างกายที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ความรักเอาใจใส่ของพ่อแม่ที่ยังคงเดิม จะทำให้เขามั่นใจ ไม่กลัว และค่อยๆ ก้าวออกมาจากโลกของวัยเด็กได้ด้วยตัวเอง
โทรศัพท์มือถือ โลกกว้างทางบันเทิง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ จำเป็นมากในยุคปัจจุบัน ถ้ารู้จักใช้ในทางที่ถูกที่ควรก็จะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมกับเพศและวัย ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
ถึงจะเป็นไปได้ แต่ยากที่จะห้ามเด็กเล่นมือถือ และบางครั้งเราเองที่เป็นฝ่ายหยิบยื่นสิ่งนั้นให้กับลูก เพราะอยากเห็นเขานั่งรอนิ่งๆ ในรถ หรือในร้านอาหาร อาจจะให้ดูการ์ตูน ฟังเพลงเด็ก หรือเล่นเกมเล็กๆ น้อยๆ แต่นั่นแค่จุดเริ่มต้น ความสนุกทำให้เด็กอยากจะเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความอยากรู้อยากลองพัฒนาขึ้นมากพอๆ กับความเชี่ยวชาญในการใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ โหลดแอพตรงไหน สร้างโฟลเดอร์เก็บไอคอน เก็บไฟล์ต่างๆ ไว้ตรงไหน ปุ่มไหนเอาไว้ทำอะไร สไลด์ปรื๊ดปร๊าดๆ เก่งกว่าเราอีก ไม่เมื่อยไม่ล้าไม่แสบตาไม่เบื่อ มีแต่สนุกขึ้นเรื่อยๆ
กว่าเราจะเอะใจว่า เริ่มมากเกินไปแล้วลูก เลิกเล่นโทรศัพท์เถอะ เมื่อนั้นแหละที่เราจะรู้สึกว่า..พลาดแล้ว...
ย้อนไปดูสมัยที่เรายังเป็นเด็ก ไม่มีเทคโนโลยี สิ่งที่ทันสมัยที่สุดในบ้านอาจจะเป็นวิทยุทรานซิสเตอร์ของพ่อ หรือทีวีที่ตั้งอยู่กลางบ้านสำหรับดูร่วมกันทุกคน หลังกลับจากโรงเรียน ช่วยพ่อแม่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ทำการบ้าน อาบน้ำกินข้าว นอนเล่นกันหน้าทีวี ถ่างตารอดูการ์ตูนหลังข่าวนี่ก็ถือว่าดึกมากแล้ว อย่างมากที่สุดก็คืนวันศุกร์ที่จะรอดูหนังยาวหนึ่งเรื่องก็จะเป็นวันพิเศษที่จะนอนดึกได้
ระหว่างรอดูการ์ตูนพวกผู้ใหญ่ก็จะคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ คอยสอนเราว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี สิ่งไหนเหมาะสิ่งไหนควร นอนอยู่นึกอยากแกล้งกันเอาเท้าถีบพี่ได้ไหม? ไม่ได้มันบาป หมอนวางอยู่บนพื้นว่างๆ เอามารองขาได้ไหมเมื่อยจัง? ไมได้มันบาป พูดเสียงดังแข่งกับผู้ใหญ่ได้ไหม? ไม่ได้มันเสียมารยาท ผู้ใหญ่ดูข่าวอยู่อยากจะกดทีวีไปดูช่องอื่นได้ไหม? ไม่ได้ ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นหล่อหลอมเด็กคนหนึ่งให้รู้จักกาลเทศะ แบบไม่ต้องมีการสอนอย่างเป็นทางการเลย
หันมาดูเด็กที่กำลังเล่นเกม สมาธิทั้งหมดจะจดจ่ออยู่แต่ในจอ มดจะไต่ไรจะตอม หรือบางทีพ่อแม่เรียกแทบจะไม่ได้ยิน เหมือนตอนที่เราหัดเล่นโซเชียลใหม่ๆ เช้าจรดเย็น เงยหน้าขึ้นมาก็ค่ำเสียแล้ว ซึ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็คงไม่กระทบเท่าไหร่ เสียการเสียงานไปหลายสิบเปอร์เซ็น ก็รีบๆ เคลียร์ให้เสร็จ คุณภาพค่อยว่ากันอีกที แล้วคิดเข้าข้างตัวเองว่า มันก็ต้องมีคลายเครียดกันบ้าง ก็ยังได้อยู่
แต่สำหรับเด็กเล็กไม่ใช่อย่างนั้นครับ ความบันเทิงจะตราตรึงใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากรับรู้อะไร ไม่มีเวลาเรียนรู้ซึมซับสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว ปิดกั้นโอกาสเติบโตตามธรรมชาติทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่เติมให้อย่างเป็นทางการก็ไม่มีอะไรงอกงามขึ้นได้เอง และสมองอาจจะถูกจับจองพื้นที่โดยข้อมูลทั้งดีและไม่ดีที่พรั่งพรูออกมาจากจอเล็กๆ นั่น
สิ่งที่ทำให้เรายังควบคุมการเล่นโทรศัพท์มือถือของลูกได้คือ ตารางเวลาที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า จุนเจือมีวันหยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน ที่จะเล่นโทรศัพท์มือถือได้ แต่ไม่ใช่ตลอดเวลาและต้องอยู่ในสายตาของพ่อแม่ ซึ่งเกมที่เล่นก็จะเป็นพวก เกมแต่งตัวตุ๊กตาบ้าง วาดรูปทำแอนิเมชั่นขำๆ บ้าง จับโบเกม่อนบ้าง นอกจากนั้นก็เล่นได้วันละนิดละหน่อยพอลดความโหยหาหลังจากทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว
ยังโชคดีที่ลูกยังว่านอนสอนง่าย เมื่อรู้สึกว่าเริ่มจะมากเกินไปเราก็เอากิจกรรมอื่นเข้ามาแทรก พาสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิก่อนนอน นอนคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ผลัดกันเล่าประสบการณ์วัยเด็ก ใช้เวลาเหมือนตอนที่ยังผลัดกันอ่านนิทานให้ลูกฟัง เรายังเชื่อว่าความรักของพ่อแม่จะเป็นเกราะกำบังสิ่งไม่ดีรอบกายรอบใจของลูกได้แม้ในยุคไอทีนี้
ลูกของคุณเป็นยังไงบ้าง?
วินัย สิ่งที่ยังต้องสร้างอย่างต่อเนื่อง
ผมเคยเล่าให้ฟังในครั้งที่แล้วว่า ใช้เวลาเกือบสองปีกว่าจะทำให้ลูกคุ้นชินกับวินัยการซ้อม นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลาประมาณสี่ปี ตอนนี้จุนเจือรู้ว่าเวลาไหนคือเวลาต้องเข้าห้องซ้อมเปียโน แม้จะอิดออดและทำการแสดงอยู่บ้างบางเวลาแต่ก็รู้ว่าไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ และเขาเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า เฮ้ย..เราก็ฝีมือไม่ใช่ขี้ไก่นี่นา เริ่มมีความภาคภูมิใจในผลของการฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา
แต่วินัย ยังต้องเกิดขึ้นกับทุกเรื่องในชีวิต ยังเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องบ่มเพาะต้นกล้าแห่งวินัยในตัวลูกหลายคนคิดว่าเด็กเล็กๆ ปล่อยให้เล่นๆ ไปเถอะ สบายๆ เดี๋ยวพอโตขึ้นก็รู้ความเองแหละ อันนี้ผมว่าอาจจะไม่จริงสำหรับเด็กที่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ไม่มีครูใหญ่คอยอบรมหน้าเสาธง ไม่มีครูน้อยคอยตักเตือนหน้าห้องเรียน ไม่มีเพื่อนๆ ให้เลียนแบบพฤติกรรม ไม่มีรุ่นพี่ให้ยำเกรง ไม่มีรุ่นน้องผู้อ่อนด้อยให้รู้สึกว่า เฮ้ย..ฉันเจ๋งกว่า หรือทำอย่างนี้ไม่ถูกทำอย่างนั้นจะโดนเพื่อนล้อ ฯลฯ ยังคงเป็นเจ้าหญิงน้อยของพ่อกับแม่ตลอดมาและจะเป็นตลอดไปอย่างที่ได้เล่าไปแล้วนั่นแหละครับ
ความก้าวหน้าของโฮมสคูลสายเปียโน
มาดูผลจากความทุ่มเทกับวิชาหลักของบ้าน จากที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนแรกครับ
พี่ป้าน้าอาที่ติดตามสังเกตการณ์บ้านเรียนบุญญาภัสมาตั้งแต่แรกก็จะทราบดีอยู่แล้วว่า เป็นโฮมสคูลสายเปียโน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ก็ยังพอมีโอกาสดีๆ ให้หยิบฉวย จะบอกว่าเพราะสถานการณ์โควิด ทำให้การเรียนด้านนี้ไปได้ดีและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็คงจะไม่ผิดนัก มีรางวัลจากความมุ่งมั่นทุ่มเท เรียนรู้และฝึกฝนอย่างหนักหน่วง 3 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และรางวัลสอบผ่านยอดเยี่ยมในระดับเกรด 5 และยังมีลุ้นว่าจะทำคะแนนได้สูงสุดในการสอบปีนี้หรือไม่ เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
หลายคนอาจยังสงสัยว่า เรียนดนตรีออนไลน์ มันจะก้าวหน้าได้ยังไง ขนาดเรียนกับครูตัวต่อตัวก็ยังยาก ผมจะเฉลยให้ฟังในครั้งนี้ก็แล้วกันนะครับ
ในการเรียนดนตรีนั้นมีทั้งส่วนที่เป็นทฤษฎีและปฏิบัติ ในเด็กเล็กๆ เขาอาจจะไม่ได้มีสมาธิมากพอที่จะสนใจหลักการต่างๆ ที่ครูสอนได้อย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวก็อยากเล่นอันโน้น อยากเล่นอันนี้ ห่วงกินขนม ห่วงเล่นตุ๊กตา แต่เวลาที่เขาลงมือปฏิบัติ สมองน้อยๆ กลับทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆ หลายเท่านัก ดังนั้น เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเสียสละเวลาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก จดจำ ฝึกทำตามที่ครูบอก ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับล่ามแปลภาษา หรือครูอีกคนที่ไม่ได้สอนด้วยความรู้ของตัวเอง รับคำแนะนำจากครูมา ย่อยเป็นรายละเอียด พาลูกเรียนรู้และฝึกฝนไปทีละนิดๆ ในหนึ่งสัปดาห์ ครูอาจจะตรวจการบ้านและให้คำแนะนำมาหนึ่งครั้งสั้นๆ บกพร่องอะไรและแนวทางแก้ไข จบ ครูไปสอนคนอื่น เรา ซึ่งอยู่กับลูกตลอดเวลา ก็รับไม้ทำหน้าที่ของเราต่อไป
ซึ่งแน่นอนครับเหนื่อยมาก น้องๆ คุณพ่อคุณแม่ลองนึกถึงตอนพาลูกทำการบ้านปกติดูครับ
ผมยังไม่ได้เขียนถึงครูสอนเปียโนของจุนเจือ ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่เคยเจอกันตัวเป็นๆ และไม่ค่อยมั่นใจว่าความสามารถที่ลูกมีนั้นเพียงพอที่จะอ้างชื่อครูได้หรือยัง ที่จริงแล้วก่อนที่จะเกิดสถานการณ์โรคระบาด จุนเจือก็เตรียมตัวสอบเกรด 3 อยู่ที่บ้านไปแล้วหนึ่งรอบ ด้วยความเอ็นดูของคุณครูเพื่อนของเพื่อนซึ่งอยู่ไกลถึงเชียงราย ที่ช่วยดูและให้คำแนะนำนานๆ ครั้ง มีโอกาสพบกันครั้งเดียวตอนไปสอบระดับเด็กเล็กที่เชียงราย และแนะนำว่าครั้งต่อไปสอบเกรด 3 เลย จุนเจือก็ยังจำได้ไม่เคยลืม
พอถึงเวลาสอบเกิดโควิดขึ้น ทางสถาบันดนตรี ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ประกาศให้สอบออนไลน์โดยส่งเป็นคลิปแสดงสด 4 เพลงแบบไม่มีการตัดต่อ
อุเหม่.. แค่เล่นทีละเพลงก็ว่ายากแล้ว จะให้เล่นสี่เพลงติดกัน มันช่างยากเย็นสำหรับเด็กเล็ก เอ้า ปล่อยผ่านรอบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน แล้วก็เริ่มต้นฝึกเพลงสำหรับสอบเกรดอีกครั้ง
ระหว่างนั้นเราก็ได้ข่าวว่า คุณครูที่เราติดตามผลงานมาหลายปี ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการพาจุนเจือไปลองเรียนเปียโนในตอนแรก ได้เปิดคอร์สออนไลน์ เราก็เลยลงทะเบียนเรียนทันที แม้จะเป็นคอร์สเริ่มต้น คือเริ่มใหม่จากศูนย์เลย เพื่อเก็บรายละเอียดและปรับปรุงข้อบกพร่องหลายๆ อย่าง เริ่มตั้งแต่การวางมือ ฝึกนิ้วให้แข็งแรง ฯลฯ ค่อยๆ ทำตามขั้นตอน จากคอร์สเบสิค เมื่อครูเห็นว่าพัฒนาได้ไวก็เลยย้ายให้ไปเรียนคอร์สเพื่อสอบเกรด จากเกรด 1-2-3-4-5
ผมพาจุนเจือฝึกเล่นตามครูทุกเพลง ไม่ได้เล่นเพื่อสอบแต่เล่นเพื่อเก็บประสบการณ์ เก็บเทคนิคต่างๆ ที่กระจายอยู่ในแต่ละเพลง รวมทั้งฝึกเพลงเกรดสามอีกหนึ่งรอบด้วยความเต็มใจ ข้อบกพร่องในหลายๆ อย่างได้รับการแก้ไขเป็นระยะ บางอย่างที่ผมรู้ว่าเป็นข้อบกพร่องแต่ไม่สามารถหาคำอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ และไม่สามารถขอคำแนะนำจากใครได้เช่น ทำยังไงถึงจะเล่นเปียโนให้ออกมาเสียงหวานๆ ฝึกยังไงให้ใช้นิ้วได้อย่างรวดเร็ว ปัญหาเหล่านี้ถูกแก้ไขตั้งแต่เดือนแรกๆ ที่เข้าเรียนในคอร์ส
ด้วยความที่เรียนกับคุณครูที่เป็นศิลปิน เป็นครูสายแข่ง เด็กๆ ลูกศิษย์ของครูได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก ตัวครูเองก็แทบจะต้องสร้างบ้านเอาไว้เก็บใบประกาศกับถ้วยรางวัลอยู่แล้ว ทำให้เด็กหญิงจุนเจือผู้ไม่เคยคิดจะไปประกวดแข่งขันอะไรกับใคร เพราะฝังใจที่เคยวิ่งแข่งกับเพื่อนๆ ตอนอนุบาลแล้ววิ่งไม่ไหวเลยวิ่งกลับมาก่อน และเข้าเส้นชัยจนได้รับเหรียญทองเหรียญแรกในชีวิตมาแล้ว ต้องส่งผลงานเข้าแข่งขันกับเขาด้วย
เวทีแรก The 1st Bangkok International Performing Arts Piano Competition (BIPAC) 2021 Bangkok, Thailand
ด้วยความที่ไม่เคยสนใจการแข่งขันจึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ที่ลงแข่งทุกคนเขาแต่งตัวกันจัดเต็มขนาดไหน รู้แต่ว่าใช้เพลงที่กำลังซ้อมเพื่อสอบเกรดส่งแข่งก็ได้ ก็เลยได้คลิปที่ออกจะมัวๆ พร้อมคุณภาพเสียงที่พอฟังรู้เรื่อง ส่ง 2 รายการ คือเพลงสอบ 1 ชิ้น กับแบบฝึกหัดเพื่อฝึกความเร็วที่ครูให้มาฝึกนอกคอร์สอีก 1 ชิ้น
ขอเล่าบรรยากาศการถ่ายคลิปเพื่อส่งสอบหรือแข่งขัน เผื่อหลายๆ คนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่ามันยากตรงไหน ถ่ายคลิปน่าจะกดดันน้อยกว่าไปเล่นสดบนเวที ถูกครับ ซ้อมๆ และไปเล่นบนเวทีให้กรรมการดู ดีหรือไม่ดีตัดสินครั้งเดียวจบ ง่ายสำหรับทุกคน แต่พอเป็นคลิป มันยากตรงที่มีโอกาสแก้ตัว ทุกๆ คน อยากได้คลิปที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เริ่มตั้งแต่ตัวเด็ก เล่นๆ ไป อ้าว..หลุดตรงนั้นตรงนี้ รู้สึกคาใจ ต้องแก้ตัวใหม่ ผู้ปกครองอย่างผมที่ต้องทำหน้าที่ที่ตัวเองไม่ถนัด ตาต้องดูทุกนิ้วที่กำลังวิ่งไวกว่า speed shutter หูต้องคอยฟังให้ทันภาพที่วิ่งไป นิ้วนั้นหลุดไหม เฉียดไหม ได้เสียงแค่เฉี่ยวๆ ไหม ไหนจะต้องคอยคุมกล้องที่ไม่รู้จะหักหลังเราเมื่อไหร่ ฯลฯ เพราะคลิปนั้นยังต้องไปผ่านการพิจารณาของครูสเปคเทพอีกชั้นหนึ่ง
พอถ่ายเสร็จในวันนั้นจำได้ว่าผมนอนยาวเลยทีเดียว..มะจะเบย.. ผลออกมาก็ชื่นใจครับ ได้เหรียญทองทั้งสองรายการ
เวทีที่สอง The 9th Hong Kong International Youth Performance Arts Festival 2021
การประกวดดนตรีเยาวชนนานาชาติฮ่องกง ครั้งที่ 9
เหตุมาจากเหรียญทองสองเหรียญแรก สร้างแรงบันดาลใจให้อิแม่ขนาดหนัก มีการเตรียมพร้อมหลายอย่าง เสื้อผ้าหน้าผม แม้แต่ตัวเปียโนก็ยังอัพเกรดเป็นแกรนด์เปียโน ซึ่งจุนเจือก็ทำได้ดีชนะใจพ่อ ถึงเวลาเรียนเวลาซ้อมปกติจะค่อนข้างต่อนยอนตามสไตล์สาวเหนือ แต่พอเอาจริงก็มีความมุ่งมั่นอดทนเป็นเลิศอยู่เหมือนกัน (เฉพาะเรื่องเปียโน) เปียโนมาถึงก่อนวันส่งคลิปไปแข่งขันวันเดียว มีโอกาสปรับตัวกับคีย์ที่ค่อนข้างแตกต่างแค่ 1 วัน แต่ก็ทำได้ดี ผลออกมา ได้เหรียญเงิน 1 รางวัล เก็บตุนไว้ก่อน
เวทีที่สาม Singapore International Piano Competition - Thailand Preliminary
รายการนี้เป็นรายการที่ดูจริงจังมากขึ้น ดูจากคลิปของผู้เข้าแข่งขันปีก่อนๆ ที่จริงก็จริงจังทุกเวทีครับ ต่างกันที่ขนาดของงาน ชุดสวยชุดเดิมที่เริ่มจะรัดติ้วได้ทำหน้าที่อีกครั้ง ต้องใช้ให้คุ้มค่า พ่อเองก็อัพเกรดอุปกรณ์เสียงไปหลายรายการ เพื่อให้ได้เสียงที่ไพเราะชัดเจนขึ้น งานนี้จุนเจือส่งใน Composer Category แบบฝึกนิ้วที่ครูให้ฝึกนอกคอร์ส ได้เหรียญเงินมาอีก 1 รางวัล ตอนนี้มี 2 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน พร้อมใบประกาศใส่กรอบไว้พอเป็นหลักฐานความก้าวหน้าและความจริงจังของบ้านเรียนหลังนี้
เวทีที่สี่ The 2nd Bangkok International Performing Arts Piano Competition (BIPAC) 2022 Bangkok, Thailand
งานนี้จุนเจือลองส่งเพลงที่ยากระดับผู้ใหญ่หนึ่งเพลง และเพลงสอบเกรด 6 อีกหนึ่งเพลง ที่ฝึกเล่นด้วยตัวเอง ได้เหรียญเงินมา 2 รายการ
เวทีที่ห้า Sugree Charoensook International Music Competition
รายการนี้เป็นรายการใหญ่ มีทั้งแข่งขันแบบ Onsite และ Online โดยใช้คณะกรรมการชุดเดียวกันมาตรฐานเดียวกัน มีสองรอบ รอบแรกวัดระดับความสามารถ มีรางวัลเหรียญทอง รางวัลดาวเด่น รางวัลดาวรุ่ง โดยผู้ที่ได้เหรียญทองจะไปแข่งกันอีกทีแบบ Onsite มีเงินรางวัลหลายหมื่นบาท
จุนเจือได้เหรียญทองมาอีก 1 เหรียญในรายการนี้ แต่ด้วยความไม่พร้อมด้านต่างๆ และสถานการณ์โควิด จึงตัดสินใจไม่ไปร่วมในรอบ Onsite ขอเตรียมตัวสักพัก ปีหน้าจะไม่พลาดอย่างแน่นอน
การสอบปฏิบัติเปียโนในระดับเกรด 5
การแข่งขันที่หินที่สุด คือแข่งกับตัวเอง สำหรับผมแล้วมองว่าการสอบเกรดไม่ได้กดดันเหมือนกับการแข่งขันในรายการต่างๆ เพราะไม่ได้ไปเบียดคะแนนกับใคร จุดประสงค์ของการเรียนเปียโนคือเรียนไปเรื่อยๆ สอบไต่เกรดไปเรื่อยๆ เก็บความรู้สะสมประสบการณ์จนถึงในระดับที่ใช้เป็นวิชาชีพได้
แต่ช้าแต่...เหตุที่เลื่อนการสอบเกรดสามครั้งที่แล้วออกไปก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี้ คือ มันยากที่จะเล่นเพลงสี่เพลงติดต่อกันโดยไม่มีข้อบกพร่องและไม่มีการตัดต่อ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความพยายามของเราไปได้ ในที่สุดจุนเจือก็มีคลิปเพลงสอบจากความมุ่งมั่นแบบสุดๆ ของที่สุดของแจ้และพลอยและติ๊กและมืด ส่งก่อนหมดเวลาไปสามวัน
ทีนี้ก็มานั่งประเมินกันว่า เอ..จากเกณฑ์ของการแบ่งเกรด คะแนนมีทั้งหมด 150 คะแนน แบ่งเป็นคะแนนของเพลงเพลงละ 30 คะแนน และอีก 30 คะแนนจากภาพรวมการแสดง ประมาณนั้น เด็กน้อยจะได้คะแนนเท่าไหร่น้อ..
100 คะแนนขึ้นไป คือ..ผ่าน (Pass)
120 คะแนนขึ้นไป คือ...ผ่านในระดับเกียรตินิยมขั้น Merit.
130 คะแนนขึ้นไป คือ...ผ่านในระดับเกียรตินิยมขั้น Distinction
ลูกเราจะผ่าน 130 มาไหมหนอ.. ลูกศิษย์ครูผ่าน Distinction กันหมด เราจะทำให้ครูเสียสถิติหรือเปล่าหนอ...
หลังจากลุ้นอยู่หลายวัน ผลสอบก็ปรากฏ ยอมรับว่าตื่นเต้นมากตั้งแต่ได้รับอีเมล์แจ้งผลสอบ และกรี๊ดหนักเข้าไปอีกเมื่อจุนเจือทำคะแนนได้สูงกว่าที่คิดไว้มาก ได้ทั้งหมด 145 คะแนน เกินเกณฑ์ Distinction มาตั้ง 15 คะแนน และยังมี 2 เพลงที่ได้คะแนนเต็ม เป็นลมดีกว่า พ่อนี้นอนยิ้มอยู่หลายวันเลยทีเดียว
การย้อนไปเรียนใหม่ตั้งแต่เกรด 1-5 รวมทั้งการแข่งขัน การสอบทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 1 ปีเต็ม ในช่วงอายุ 8 ขวบของจุนเจือ
ต้องขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ที่ส่งมาถึงจุนเจือตลอดมา ขอบคุณครูจ๊อบจุดเริ่มต้นของการเรียนเปียโนอย่างจริงจังและยังช่วยเลือกซื้อเปียโนให้จุนเจือ ขอบคุณครูเกียรติจากเชียงรายที่เอ็นดูจุนเจือช่วยให้คะแนะนำในหลายๆ เรื่อง ขอบคุณครูไก่ที่สอนเล่นเพลงเพราะหลายๆ เพลง ขอบคุณทุกๆ คำแนะนำและการตรวจการบ้านอย่างเข้มข้นของครูเสกข์ ทองสุวรรณ ที่ทำให้การเรียนเปียโนของจุนเจือพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เราจะพยายามต่อไปครับ